วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พี เอส ไอ สู้สังเวียนทีวีดาวเทียม

ปัจจุบัน การแข่งขันของตลาดทีวีดาวเทียมทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่เพียงแต่ผู้เล่นรายใหม่ที่รุกเข้ามาชิงพื้นที่ ผู้เล่นรายเดิมรวมถึงผู้ผลิตจานดาวเทียมที่อยู่ในตลาดต่างก็ต้องปรับตัว เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้เช่นกัน

"สมพร ธีระโรจนพงษ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอสไอ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายจานรับสัญญาณดาวเทียม "พีเอสไอ" ในฐานะผู้ครองแชร์ 80% หรือมีจานอยู่ในตลาด 10 กว่าล้านครัวเรือน เปิดใจ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา การแข่งขันของตลาดทีวีดาวเทียมเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หากธุรกิจที่เข้ามาแข่งขันไม่มีความพร้อม การแข่งขันก็จะดุเดือดขึ้นมาทันที 

"พีเอสไอคือผู้เล่นที่อยู่ในตลาดทีวีดาวเทียมมาอย่างยาวนาน จึงมีความพร้อมและถือว่าตลาดนี้เป็นสนามของเรา แต่หากวันไหนเราข้ามไปเล่นในสนามอื่นที่เราไม่มีความถนัด ก็คงสู้เขาไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงพยายามแข่งขันอยู่ในตลาดที่ถนัดและคุ้นชิน พร้อมทั้งเดินหน้าสร้างความแปลกใหม่ พัฒนาเทคโนโลยี การบริการอยู่เสมอ"

ก้าว ต่อไปพีเอสไอจึงไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่เพียงผู้ผลิตจานดาวเทียม นั่นก็หมายความว่ารายได้หลักในอนาคตจะไม่ได้มาจากการขายจานอีกต่อไป แต่จะมาจากการขยับไปสู่ธุรกิจการให้บริการ ได้แก่ การขยับไปเป็นเน็ตเวิร์กโพรไวเดอร์ หรือ OTA (Over The Air) คือ การส่งข้อมูล หรือข้อความต่าง ๆ ขึ้นไปยังดาวเทียม แล้วดึงลงมาสู่ครัวเรือนให้สามารถรับชมผ่านจานดาวเทียมได้ 

ตามด้วย การให้ความสะดวกกับลูกค้า โดยเริ่มทำเทิร์นคีย์โซลูชั่น หรือการที่ผู้ผลิตพัฒนาจนแล้วเสร็จในสภาพพร้อมใช้งาน หมายถึง ใครที่ต้องการเข้ามาผลิตรายการ เพียงเดินเข้ามา ทางบริษัทจะมีบริการในส่วนนี้รองรับไว้ให้ ทั้งการอัพลิงก์ ดาวน์ลิงก์ มีสตูดิโอพร้อมออกอากาศและห้องควบคุม ตัดต่อแบบครบวงจร 

ปัจจุบัน เริ่มมีลูกค้าหลายรายสนใจเข้ามาใช้บริการบ้างแล้ว รวมถึงมีแผนที่จะร่วมกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์ อย่างเวิร์คพอยท์ฯ ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมกัน

รายได้หลักอีกส่วนหนึ่งจะมา จากการแชร์ข้อมูลจากระบบวัดเรตติ้งทีวีดาวเทียมแบบเรียลไทม์หรือพีเอสไอ เรตติ้งบ็อกซ์ ซึ่งได้ร่วมกับเอไอเอส ติดตั้งซอฟต์แวร์ รวมถึงรายงานผลแบบเรียลไทม์ ปัจจุบัน 2,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงแก่เจ้าของสินค้า เอเยนซี่วางแผนลงโฆษณา รวมถึงรายได้จากการโฆษณา โลโก้สินค้า พ็อปอัพจะส่วน

รายได้เสริมเข้า มาอีกช่องทางหนึ่งเป็นการวัดผลแบบเรียลไทม์ที่แบ่งแยกย่อยในหลากรูปแบบ ทั้งจำนวนผู้ชมช่องต่าง ๆ กลุ่มผู้ชมที่แบ่งเป็นกลุ่มเอ รายได้ 50,000 บาทขึ้นไป กลุ่มบี รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป และกลุ่มซี รายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท

สมพรยังกล่าวถึงเป้าหมายต่อไปว่า เตรียมออกกล่องรับสัญญาณรุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ โอทูป เพราะเชื่อว่าโอกาสที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนกล่องมีอยู่แน่นอน 

ปัจจุบัน มีฐานผู้บริโภคที่ติดกล่องรับสัญญาณจำนวนมาก ถ้าถึงวันหนึ่งก็จะนำกล่องใหม่นี้เข้าไปแทนกล่องเก่า ซึ่งกล่องรับสัญญาณโอทูป ได้นำเอารอม ROM ซึ่งเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลมาใส่ไว้ เพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลและภาพยนตร์ที่พีเอสไอจะเป็นผู้ส่งให้แก่ผู้ชม ได้รับชมฟรี ที่บ้าน แต่ทุกภาพยนตร์จะต้องมีโฆษณาสอดแทรกเป็นพ็อปอัพหรือโลโก้เข้าไปด้วย

"เราเชื่อว่าแนวโน้มของเพย์เปอร์วิวจะเปลี่ยนไป ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภค เพราะผู้ชมมีทางเลือกในการรับชมสื่อ

ต่าง ๆ ได้สะดวกและหลายช่องทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับชมคลิปผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถเลือกรับชมได้ตามความสนใจ 

ขณะ เดียวกันด้วยเวลาของผู้บริโภคที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นผลให้การรับชมทีวีลดลงด้วย เช่นเดียวกับแนวโน้มการรับชมภาพยนตร์ที่ลดลง เพราะช่องทางการรับชมเพิ่มขึ้น การเพิ่มช่องทางการเก็บเงินให้แก่เจ้าของหนัง จึงน่าจะได้รับความสนใจ" 

ใน ส่วนของแพลตฟอร์มดังกล่าว ช่วงเริ่มต้นนี้ พีเอสไอจะเข้าไปร่วมมือกับผู้ผลิตภาพยนตร์ หรือการซื้อลิขสิทธิ์ เพื่อนำภาพยนตร์เข้ามาฉายให้แก่ผู้บริโภค 

ขณะที่ระยะยาวจะใช้ระบบ เรตติ้งบ็อกซ์ของพีเอสไอเป็นตัววัดว่าภาพยนตร์เรื่องใดมีผู้ชมเท่าไร หลังจากนั้นก็เป็นการโฆษณาแล้วแบ่งรายได้กับเจ้าของภาพยนตร์ 

"เดิม ทีแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเริ่มวางจำหน่ายในปีนี้ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องราคากล่องที่ยังสูงถึง 4,000-5,000 บาท และบริษัทได้เช่าแบนด์วิดท์ไทยคม 6 แต่ยังไม่เปิดให้บริการ ทำให้ต้องเลื่อนออกไป คาดว่าปีหน้าจะวางตลาดได้" 

ส่วนปีนี้แม้ว่า การแข่งขันจะสูง แต่ "สมพร" กล่าวว่า ครึ่งปีแรกบริษัทก็เติบโตถึง 60% สิ้นปีนี้น่าจะปิดรายได้ที่ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2555 นับว่าเป็นปีแห่งการลงทุน เพราะลงทุนสร้างโรงงานใหม่ เพื่อผลิตสายโคแอกเชียล (Coaxial) ปรับปรุงศูนย์บริการและขยายเพิ่มอีก 3 สาขา รวมเป็น 35 สาขาสิ้นปีนี้ ภายใต้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท